เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) ฮอตยอดจองซื้อหุ้นไอพีโอเกลี้ยง 60 ล้านหุ้น เผย “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” ตามเทรนด์ซื้อ เตรียมลงสนามเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 7 พ.ย.นี้ ระดมทุมขยายสาขาคลินิกเวชกรรม เป้า 6-10 สาขาต่อปี
KLINIQ โชว์ความสำเร็จ ปิดการขายหุ้นไอพีโอ 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท หลังเปิดจองซื้อเมื่อวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก ทั้งนักลงทุนสถาบัน วีไอ และนักลงทุนทั่วไป ล่าสุดตามรายงานของ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม ( KLINIQ ) พบว่ายังมีชื่อ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ดาราชื่อดัง จองซื้อหุ้นไอพีโอด้วย
KLINIQ ดำเนินธุรกิจ คลินิกเวชกรรมด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ( mai ) โดยมีการเสนอขายหุ้นไอพีโอของ KLINIQ จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท โดยเตรียมที่จะเข้าเทรดตลาด mai ในวันที่ 7 พ.ย.นี้
ด้านนายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DAOL) ในฐานะปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า KLINIQ โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของ KLINIQ ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ความงามครบวงจร รวมทั้งเป็นคลินิกเวชกรรมเจ้าแรกที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ การที่หุ้น KLINIQ ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากการกำหนดราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ทั้ง 7 กูรู คาดการณ์ โดย KLINIQ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “KLINIQ” ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ
“จากฐานะทางการเงินของ KLINIQ ที่มีความแข็งแกร่ง และแบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ และประสบการณ์มายาวนานกว่า 13 ปี ไร้ภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย ทำให้สามารถเดินหน้าขยาย รองรับความต้องการผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความงามและสุขภาพ สอดรับเมกะเทรนด์ ซึ่งทำให้เห็นถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตของ KLINIQ เติบโตก้าวกระโดด สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต”นายรัฐชัย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ของ KLINIQ ถือว่าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก โดยมีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 451.59 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60.00 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของปี 2564 ทั้งปีอยู่ที่ 129.25 ล้านบาท
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นและเข้าลงทุนในหุ้น KLINIQ คลินิกการแพทย์ความงามเจ้าแรกของประเทศไทยที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
เป้าหมายระดมทุน
โดยบริษัทฯเตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรม ราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี
อีกทั้ง ยังเตรียมนำเงินไปพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน โดยในส่วนของการพัฒนาระบบ IT งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท
“ที่ผ่านมาเราได้ผ่านบททดสอบและผ่านวิกฤติมาแล้วหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองในประเทศปี 2553 วิกฤติน้ำท่วมในปี 2554 และวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 แต่ผลการดำเนินงานของ KLINIQ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
จากโมเดลธุรกิจ Asset Light และฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (Cash Rich-Zero debt) และการที่มีลูกค้ากว่า 2 แสนราย เข้ามาใช้บริการซ้ำ ทำให้มีรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) และจากแผนการขยายสาขา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งการเป็นธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ จะช่วยผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด”นายแพทย์อภิรุจ กล่าวในที่สุด